สมเด็จบรรจุพระธาตุหลวงพ่อชาญณรงค์ อภิชิโต (พระเครื่องราชพัฒน์)

ราคา / สถานะ :
โทรถาม
ชื่อร้าน พระเครื่องราชพัฒน์
ประเภทร้าน SHOP
เบอร์โทร 095-9155197 AIS
Line ID
จำนวนผู้ชม 15,767
ดูพระทั้งหมดในร้านค้า
ข้อควรระวัง ในการเช่าพระผ่านเว็ปไซต์

ต้องตรวจสอบพระ และ ตกลงเงื่อนไขการรับประกัน ให้เรียบร้อย

หากไม่เคยติดต่อ หรือรู้จักผู้ให้เช่ามาก่อน
แนะนำให้นัดดูองค์จริง

ทางเวปเป็นสื่อกลาง ไม่มีส่วนในการเช่าพระ
กรุงเทพมหานคร 3 มกราคม 2562 07:52 AM
ชื่อพระ :

สมเด็จบรรจุพระธาตุหลวงพ่อชาญณรงค์ อภิชิโต (พระเครื่องราชพัฒน์)


รายละเอียดพระ :

พระผงรุ่นสุดท้ายของหลวงพ่ออภิชิโต มี 4 พิมพ์ คือสมเด็จพิมพ์ใหญ่ สมเด็จพิมพ์คะแนนบรรจุพระธาตุหายากมาก พระพิมพ์นางพญาและพิมพ์พระปิดตา รวมทุกพิมพ์แล้วมีประมาณเพียง 2500 องค์เท่านั้น พระผงปี 16 และพระสมเด็จฝังพระธาตุมีสร้างไว้ประมาณเพียง 100 กว่าองค์ """""""""""""""""""""""""""""""โดยสร้างขึ้นเพื่อหาเงินไปบูรณะวัดอัมพวัน จ.หนองคาย โดยพระมหาเหลื่อมเป็นผู้ขอสร้าง มีพิธีสร้างและปลุกเสกที่วัดเงิน ตลิ่งชัน โดยหลวงพ่อเป็นผู้ปลุกเสกเดี่ยวด้วยกายเนื้อตลอดพรรษาทุกวันไม่เว้นแม้แต่วันเดียว""""""""""""""""""""""""" และยังเชิญพระในดงทุกองค์มาร่วมปลุกเสกพระรุ่นนี้ รวมทั้งท่านอาจารย์ใหญ่คือหลวงตาดำ อภิมหาปรมาจารย์ของพระในดงผู้เรืองฤทธิ์ สิ่งมงคลและทุกอย่างที่เป็นของอาถรรพ์ในโลกนี้ ท่านได้นำมาใส่ไว้ในการสร้างพระรุ่นนี้ทั้งสิ้น เพื่อให้เป็นที่สุดของพระเครื่องในยุคหลังกึ่งพุทธกาล ที่จะรอสร้างปาฏิหาริย์ในวันหน้าเมื่อบ้านเมืองถึงคราวยุคเข็ญ เท่าที่สอบถามและดูรายละเอียดที่มีการบันทึกไว้ในมวลสารต่างๆของพระรุ่นสุดท้ายปี 2529 เอาแค่ที่จำได้มีดังนี้"""""""""""""""""""""""""" -พระสมเด็จวัดระฆัง ที่เป็นสมบัติตกทอดจากตระกูลท่าน -พระสมเด็จบางขุนพรหมจำนวนมากทั้งที่หักและสภาพดี -พระสมเด็จวัดเกศจำนวนหนึ่งกระป๋องนมตราหมี -พระพุทโธน้อยของคุณแม่บุญเรือน (ทั้งสองท่านรู้จักกันดี) -พระของขวัญวัดปากน้ำ(ท่านสนิทกับหลวงพ่อสดดี) -พระและผงของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต -ผงพระวังหน้าและผงจากกรุวัดพระแก้วที่ได้มาจากหลังคาโบสถ์ -ผงวิเศษและดินอาถรรพ์จากในดง ที่ท่านไปนำมาเพื่อใช้สร้างพระรุ่นนี้โดยเฉพาะ -ทรายจากขั้วโลกเหนือ ที่เป็นทรายเสกของพระอุปคุต ท่านลงทะเลน้ำแข็งไปเอามาโดยจีวรไม่เปียกน้ำต่อหน้าคนทั้งลำเรือ ส่วนที่เปียกน้ำเป็นเฉพาะทรายที่ท่านเอาจีวรห่อขึ้นมาจากทะเล -ใส่เขาปลาวาฬขั้วโลก(เป็นกระดูกที่งอกขึ้นบนหัวคล้ายเขาม้ายูนิคอร์น) ที่เจ้าสัวใหญ่มอบให้มา -ใส่ปากกา ปากเหยี่ยว จมูกเสือ เป็นเคล็ดวิชาแก้อาถรรพ์ -ใส่ผงเขี้ยวทั้ง9 และผงเขาทั้ง 5 เพื่อแก้และกันอาถรรพ์ในป่าในดง -ใส่ทองอำพัน ใส่แก้วโป่งข่าม แก้วขนเหล็ก แก้และกันอาถรรพ์โลกวิญญาณ -ใส่ผงวิเศษที่ผู้มีบุญสูงศักดิ์ของเมืองไทยประทานมอบให้โดยเฉพาะ -ผงว่านสบู่เลือด ผงจ่าว่าน ผงไพรดำ -ใส่พระและผงจากกรุพระเมืองกำแพงเพชร ซึ่งเทวดานำมามอบให้ท่าน -ใส่ผงจากการสร้างพระวัดลาดบัวขาวปี 2485 ที่กดไม่ทันฤกษ์และเก็บรักษาไว้ -ผงก้นกรุพระวัดชนะสงคราม -ผงจากพระและผงกรุวัดสามปลื้ม -ผงกรุพระวัดราษฎร์บูรณะ -ใส่พระสมเด็จแดง สมเด็จดำ สมเด็จเขียว ที่เหลืออยู่ทั้งหมด -ผงจากเจดีย์เมืองหงสาวดี ประเทศพม่าที่เป็นผงพันปีจากโลกลี้ลับ""""""""""""""""""""""""""""""""""" ในพิธีสร้างพระเครื่องปี 2529 นี้ มีพราหมณ์ผู้จัดการบวงสรวงพิธีชื่อพราหมณ์แป๊ะ ซึ่งเป็นศิษย์อีกคนหนึ่งของท่าน ที่เรียกเข็มจากใต้น้ำได้ แก้อาถรรพ์วิชาได้ เป็นผู้ทำพิธีต่างๆตั้งแต่ต้นจนเสร็จ พระเครื่องรุ่นนี้ท่านสร้างไว้เพื่อให้เกิดปาฏิหาริย์ต่อผู้ใช้บูชา เพื่ออำนวยผลต่อคนในยุคหน้าที่สังคมเสื่อมทรามและโลกถึงคราวพบเคราะห์กรรม ใช้ป้องกันนิวเคลียร์ กันภัยจากรังสีร้ายแรง ท่านได้ใส่อาคมที่กันได้ในวิชาอาคมทั้ง 18 อักขระภาษา เช่นกูโบ๊ส แขก มอญ ละติน ขอม ฯลฯ กันไว้ทั้ง 10 ทิศทั้งวันเปิด-วันปิดของคนบูชา ป้องกันคุณไสย ป้องกันการคัดถอนวิชาอาคมในตัว มีพยานรู้เห็นหลายคนว่า พระเครื่องรุ่นนี้ท่านปลุกเสกจนพระทั้งหมดลอยขึ้นจากพื้น (บางคนบอกว่าท่านเสกจนพระบินได้) ...................................ในพิธีปลุกเสกนั้น ไฟฟ้าในวัดทุกดวงได้ดับลงขณะท่านกำหนดสมาธิจิตจรดปากกาลงบนแผ่นจารเพื่อทำพิธี โดยที่ไฟฟ้านอกวัดไม่ดับเลย เมื่อท่านปล่อยจิตเป็นปกติไฟฟ้าก็ติดทุกดวง คนยุคนั้นและคนทั้งบางละแวกนั้นจะรู้จักพระรุ่นนี้ว่า"พระรุ่นไฟดับ".......................... (ท่านบอกกับศิษย์ว่า พระรุ่นนี้ท่านจะทำทิ้งทวน).....................ในสรรพวิชาที่เรียนมาให้ดีที่สุดเพื่อคนในรุ่นหลัง จะสร้างของวิเศษไว้ในแผ่นดินให้โลกจารึกไว้ และจะไม่ให้ศิษย์หรือคนที่นับถือท่านต้องตกต่ำด้อยค่ากว่าใครๆ ศิษย์ของท่านบอกตรงกันว่า พระชุดนี้ไม่เป็นรองใครในแผ่นดินและกันได้ทุกอย่าง จะก่อปาฏิหาริย์มากในวันหน้า พระชุดนี้มีหลายสี เช่นสีขาวๆจะแก่ผงวิเศษต่างๆ สีขาวปนแดงอ่อนจะแก่พระสมเด็จแดงชุดสุดท้ายที่หลวงพ่อเทใส่ครกตำลงไปด้วย(หายากมาก) สีเทาเข้มๆอมน้ำมันจะแก่มวลสารอาถรรพ์และสมเด็จเขียว สีน้ำตาลอ่อนจะแก่ว่านยาจากในป่าในดง สีขาวปนเทาอ่อนๆจะเป็นเนื้อมาตรฐานของพระรุ่นนี้ ............................. แม้แต่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง อุทัยธานี ................ยังยกย่องและยอมรับว่า พระพุทธรูปที่หลวงพ่ออภิชิโตเสกให้นั้น เป็นที่สุดของพระบูชาแห่งยุคแล้ว จะหาที่ไหนทำเสมอเหมือนได้ยาก โดยเหตุนี้เกิดเมื่อครั้งที่นายทหารท่านหนึ่งยศนายพลได้ขออนุญาตสร้างพระพุทธรูปบูชาจำนวนหนึ่ง ให้ชื่อว่า"พระพุทธเมตตา" เมื่อท่านเสกให้แล้วก็นำไปออกให้บูชาหาเงินทำบุญที่อุทัยธานีและที่อุตรดิตถ์ มีคนบูชาและนำไปที่วัดท่าซุง อุทัยธานี เมื่อหลวงพ่อฤาษีฯได้พบพระบูชานี้เข้า จึงให้ศิษย์ของท่านมาตามเก็บไปบูชาอีกสิบกว่าองค์โดยบอกว่า พระบูชาที่สร้างอย่างสมบูรณ์และทำได้ดีแบบนี้ ในโลกนี้จะหาคนทำได้ยากหรืออาจไม่มีอีกแล้ว (เรื่องนี้จะมีบันทึกในหนังสือทั้งชื่อ ยศของผู้สร้าง วันเวลาโดยละเอียด สามารถสอบทานเรื่องจริงได้เลย) ............................ เคยมีผู้นำพระผงรุ่นสุดท้ายนี้ไปให้พระอาจารย์ชื่อดังสายวิปัสสนาศิษย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ตรวจรังสีจิตในองค์พระผงรุ่นสุดท้ายของหลวงพ่ออภิชิโต พระอาจารย์ท่านนั้นถึงกับสะดุ้งและบอกว่า "ในโลกเรายังมีคนทำของได้ดีสมบูรณ์แบบอย่างนี้อีกหรือ สูงค่าจริงๆ .........." .......................พระเครื่องรุ่นสุดท้ายของท่านอาจารย์ชาญณรงค์ อภิชิโต ที่ว่ากันว่าดีที่สุดในความรู้สึกของศิษย์ท่านที่ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่แทบ ทั้งสิ้น...........................-พระผงรุ่นสุดท้าย เท่าที่คนซึ่งเคยอยู่ร่วมในพิธีสร้างยืนยัน มีสามพิมพ์ เนื้อหาแก่มวลสารมากและเนื้อไม่ค่อยเข้ากันมากนัก หากส่องดูจะเห็นเม็ดมวลสารลอยอยู่ทั่วไปบนผิวและในเนื้อพระ ............ไม่มีกลิ่นน้ำมันตังอิ๊ว เจ้าสัวหลายคนอยู่ร่วมในพิธีขณะหลวงพ่อเอาพระสมเด็จวัดระฆังใส่ครกตำทำมวล สารพร้อมๆกับพระสมเด็จบางขุนพรหมและพระกรุวังหน้า ผงต่างๆที่ท่านนำมาจากในดงใส่รวมเข้าไป เป็นพระผงที่ตั้งใจทำทิ้งทวนแบบต้องการฝากไว้กับแผ่นดินเมื่อวันหน้าจะได้มี ประโยชน์ต่อคนที่มีวาสนาพบเจอ....................... พิมพ์คะแนนหายากมาก พิมพ์นางพญา ท่านปลุกเสกเองและผสมด้วยเนื้อพระสมเด็จวัดระฆังดีๆหลายองค์ พระสมเด็จบางขุนพรหมนับไม่ถ้วน พระกรุวังหน้าอีกจำนวนมาก เนื้อหาของพระชุดนี้แก่มวลสารมากพระสมเด็จหลวงพ่อชาญณรงค์มีส่วนผสมสมเด็จวัดระฆัง27องค์ปฏิปทาภินิหารพระอาจารย์ในดง ; พระอาจารย์ชาญณรงค์ อภิชิโต (ศิริสมบัติ) ศิษย์ผู้น้องของพระครูเทพโลกอุดร................................. พระอาจารย์ชาญณรงค์ อภิชิโต นามสกุล ศิริสมบัติ เป็นบุตรของ พระยาศิริสมบัติ มหาเศรษฐีระดับพันล้าน สมัยก่อนสงครามโลก ซึ่งเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศไทยในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ท่านเรียนจบแพทย์ศิริราชรุ่นหลักสูตรเร่งรัด 2 ปี ในสมัยสงครามโลกเมื่อเรียนจบยังไม่ทันได้ทำงาน ท่านไปเที่ยวกับเพื่อนสนิท 2 ท่านคือ หม่อมเจ้าไชยเดช พัฒนเดช และอาจารย์เฉลียว เพื่อนร่วมรุ่นซึ่งสนิทกันมาก อยู่มาวันหนึ่งท่านประสบอุบัติเหตุ แข้งขาหัก ญาติผู้ใหญ่พาไปรักษากับหลวงปู่พลอย วัดเงิน (วัดรัชดาธิษฐาน) ตลิ่งชัน เพราะท่านเก่งเรื่องหมอ............................. โดยเฉพาะเกี่ยวกับกระดูกแล้วเชี่ยวชาญที่สุด หลวงปู่บอกว่าถ้ารักษาหายแล้วให้บวชเณร เจ้าตัวก็ยอมรับ หลวงปู่จึงรักษาให้ทางไสยศาสตร์ โดยให้พากลับบ้านได้ แล้วท่านก็นั่งปั้นหุ่นรักษาแข้งขาหักที่ร่างของหุ่น ไม่กี่วันเจ้าของร่างที่ป่วยก็หายเดินได้เป็นปกติ เมื่อหายแล้วจึงรักษาสัจจะกับหลวงปู่ ไปบรรพชาเป็นสามเณรอยู่กับท่าน ทั้งได้ชวนเพื่อนสนิทไปด้วยคือ หม่อมเจ้าไชยเดช พัฒนเดช และอาจารย์เฉลียว อยู่กับหลวงปู่ระยะหนึ่ง ท่านส่งสามเณรทั้ง 3 ไปเรียนวิชากับหลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ จังหวัดนครปฐม ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากพระปฐมเจดีย์นัก....................... สามเณรทั้ง 3 อายุ 18-19 ปี อยู่ในวัยกำลังซุกซน วันหนึ่งชวนกันไปเที่ยวขุดหัวมันในป่าอยู่ติดกับวัดนั่งเอง กำลังขุดกันเพลินก็มีเสียงทักขึ้นมาว่า "เณร ทำอะไรกัน" สามเณรพากันเหลียวดู ก็เห็นตาแก่ผิวดำ รูปร่างสูงใหญ่ยืนยิ้มอยู่ จึงพากันตอบว่า "ขุดหัวมันจะเอาไปต้มกิน" ตาแก่บอกว่า "มันสุกอยู่ในดินแล้ว ขุดขึ้นมาก็กินได้ทันที ไม่ต้องเอาไปต้มหรอก"............................ เมื่อสามเณรขุดขึ้นมาก็สุกจริงดุจที่ตาแก่บอก จึงมองหน้ากันด้วยความฉงน ตาแก่ถามว่า "พวกแกว่าฉันเก่งมั้ย อยากเป็นศิษย์ของฉันมั้ย" ทั้ง 3 ท่านมาจากตระกูลสูง เมื่อมีตาแก่บ้านนอกมาใช้วาจาไม่เป็นที่เคารพขึ้นฉัน ขึ้นแก แล้วยังมาอาสาเป็นอาจารย์อีกจึงแสดงความไม่พอใจ พูดสวนขึ้นว่า "ตาแก่ แกมีดีอะไรนักหนาถึงบังอาจมาอาสาเป็นอาจารย์ของพวกข้า" ตาแก่หัวเราะฮาๆ กล่าวว่า "เอางี้ไหมพนันกัน ฉันจะให้พวกแก 3 คนนี่ทำร้ายโดยวิธีไหนก็ได้ ถ้าฉันได้รับอันตรายใดๆ จะไม่ถือโทษ แต่ถ้าไม่เป็นอะไรแล้ว พวกแกต้องเป็นศิษย์ไปเรียนวิชากับฉัน"................................. ทั้ง 3 ท่านได้คำรับท้าดังนั้น จึงรีบลุกขึ้นพากันทำร้ายตาแก่คนนั้น บ้างเตะ ต่อย เอาท่อนไม้ตี เอาก้อนหินทุบขว้าง พยายามลงมือกันเป็นเวลานานจนสิ้นเรี่ยวแรง ตาแก่ก็นั่งบนขอนไม้ให้ทำร้ายอย่างไม่สะทกสะท้าน และไม่แสดงกริยาอาการบาดเจ็บอย่างใดทั้งสิ้น จนทั้งสามท่านนั่งด้วยความเหนื่อยอ่อน ตาแก่หัวเราะฮาๆ พูดว่า "พวกแกแพ้ฉันแล้ว ต้องกราบรับฉันเป็นอาจารย์เดี่ยวนี้ สิ้นคำสามเณรทั้งสามก็ลุกขึ้นนั่งกราบท่านพร้อมๆ กัน ตาแก่จึงเอาแขนโอบสามเณรทั้งสามท่านแล้วหายแว็บ จากที่นั่นไปโผล่ในดงลี้ลับแห่งหนึ่งในชั่วพริบตา............................. พระอาจารย์ชาญณรงค์เล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า... ในดงนั้นมีพระและฆราวาสที่อยู่ฝึกวิชากับตาแก่ประมาณ 50 ท่าน มีฆราวาสมากกว่าพระ และทุกท่านเรียกตาแก่ว่า "หลวงตาดำ" พระอาจารย์ชาญณรงค์เคยถามชื่อของท่านว่าชื่ออะไรกันแน่ ท่านให้เรียกว่า "หลวงตาดำ" ก็ใช้ได้แล้ว ถามว่าเป็นคนหรือภูตผี หรือเทวดา ท่านก็ให้จับดู เห็นเป็นคนมีเลือดเนื้อเหมือนกัน เมื่อถามถึงอายุ ท่านบอกว่าไม่รู้กี่ปี ท่านได้ร่วมงานพระศพของพระพุทธเจ้า ท่าน (หลวงตาดำ) เป็นศิษย์ของพระมหากัสสปะ ได้รับมอบหมายให้บำเพ็ญอิทธิบาทธรรมมีชีวิตอยู่ยืนยาวเพื่อรักษาพระศาสนา คราวใดที่พระศาสนาเริ่มเสื่อมเศร้าหมอง มีอลัชชีเข้ามาอาศัยในพระศาสนามาก คำสอนอันแท้จริงเริ่มเสื่อม ท่านต้องฝึกลูกศิษย์ขึ้นมาช่วยกันสั่งสอนใหม่ ให้กลับคืนสู่เนื้อหาพุทธศาสนาอันจริงแท้........................... พระอาจารย์ในดง ลูกศิษย์ของหลวงตาดำ พระอาจารย์ชาญณรงค์บอกว่า... เท่าๆ ที่เคยพบเห็นและเรียกกันในดง มีหลวงพ่อตีนโต เป็นพระที่มีรูปร่างสูงใหญ่ ฝ่าเท้ายาวใหญ่ วัดจากล่างถึงหัวเข่าได้ 81 เซนติเมตร ท่านเปิดเผยตัวเองบ่อยเพราะชอบสอนคน จึงมีคนพบเห็นท่านเสมอ ที่มักเรียกขานกันว่า หลวงปู่เทพโลกอุดร ความจริงชื่อนี้ไม่มีใครเรียก หรือรู้จักกันในดง เห็นเรียกรูปพระที่ปรากฏในภาพถ่ายโบราณว่า พระครูเทพโลกอุดร ความ จริงเป็นรูปหลวงพ่อตีนโต ท่านเป็นพระกรรมฐานนิกายธรรมยุตเกิดในสมัยรัชกาลที่ 4-5 เข้าเป็นศิษย์ ของหลวงตาดำรุ่นเดียวกับกรมพระราชวังบวรวิเศษไชยชาญ หรือพระองค์ดำ เป็นคนร่วมสมัยกับหลวงปู่สุก วัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงพ่อโพรงโพธิ์ ผู้มักท่องเที่ยวอยู่ในแถวจังหวัดกาญจนบุรี เหตุที่ชื่ออย่างนั้น เพราะท่านปลูกต้นโพธิ์เป็นวงกลม ปลูกติดๆ กัน พอต้นโพธิ์ใดขึ้นก็มีโพรงใหญ่อยู่ข้างใน ท่านก็ใช้เป็นที่อยู่ของท่าน...................... พระในดงเขาไม่เรียกชื่อจริง ใครมีลักษณะแบบไหนก็เรียกตามนั้น ลืมชื่อสมมุติในโลกให้หมด หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า ท่านมีลักษณะสกปรกมอมแมมด้วยฝุ่นขี้เถ้า เพราะท่านนิยมก่อไฟบูชาไฟ เพ่งกสิณไฟ และไม่เคยอาบน้ำ ศิษย์ของท่านที่ผู้คนรู้จักกันดี คือ หลวงพ่อกบ วัดเขาสาลิกา และ หลวงพ่อโอภาสี หลวงพ่อเศียรบาตร (หลวงปู่หัวยุบ) มีชื่อตามลักษณะของท่านซึ่งมีศีรษะโตใหญ่ และหลวงปู่ยามแดง.................... ตามบันทึกของอาจารย์พันเอกชม บอกว่า 12 ตุลาคม 2535 เยี่ยมอาจารย์ชาญณรงค์ ไปกับ พ.อ. ยนต์ ท่านเล่าว่า หลวงพ่อตีนโต หลวงปู่สุข (อาจารย์แจ้งฌานแห่งเขาใหญ่) หลวงตาแป้น และท่านเจ้า (เสด็จในกรมวังหน้า ร.5) และหลวงพ่อโพรงโพธิ์ เรียนกับหลวงตาดำรุ่นเดียวกัน เป็นคนไทย 5 คนที่เรียนจบแล้วเป็นครูฝึก รุ่นเดียวกับอาจารย์ชาญณรงค์มี อาจารย์ประทุม อาจาร์เฉลียว อีกคนตายชื่อ ศิริ หลวงปู่แป้น หลวงปู่พลอย เป็นศิษย์นอกดงของหลวงตาดำ หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง หลวงพ่ออี๋ สัตหีบ เป็นศิษย์นอกดง (ไม่บ่งว่าเป็นศิษย์ของใคร) อาจารย์ฉลอง ผู้ทำยาทูลฉลอง อาจารย์พัว แก้วพลอย เป็นศิษย์นอกดง เรียนกับ หลวงปู่สุข (แจ้งฌาน) ที่เขาใหญ่................. 6 สิงหาคม 2535 อาจารย์ชาญณรงค์เล่าว่า ลูกศิษย์นอกดงที่เก่งพิเศษอย่าง หลวงตาพุก เป็นเจ้าอาวาสวัดเชิงเลน 4 ตุลาคม 2529 จากคำเล่าของอาจารย์พันเอกชม ทำให้ทราบว่า ศิษย์ในดงนั้นมีหลายชาติ หลายภาษา หลายทวีป เมื่อใครเข้าไปอยู่ในข่ายฌานของหลวงตาดำ ท่านก็จะไปทรมานแล้วก็รับมาเป็นศิษย์ฝึกวิชากับท่านในดงลี้ลับ ซึ่งดงนี้ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ เพราะไม่ว่าจะอยู่ประเทศไทย เมื่อหลวงตาดำพาไป ก็ใช้เวลาพริบตาเท่ากัน คนอยู่ในประเทศไหนก็เลยคิดว่าดงนั้นอยู่ในประเทศของตน................... ในบันทึกของพ.อ.ชม กล่าว ว่า... สามสหาย (พระอาจารย์ชาญณรงค์ หม่อมเจ้าไชยเดช พัฒนเดช และอาจารย์เฉลียว) อยู่ฝึกวิชาฌาน 8 กับหลวงตาดำในดงลี้ลับเป็นเวลาเกือบ 4 ปี เมื่อสำเร็จฌาน 8 ท่านก็ส่งตัวออกมาสู่โลกภายนอก เพื่อมาฝึกวิชาภาคสนามต่อสู้กับกิเลสตัณหา อันจะเป็นบรรทัดฐานให้ฝึกจิตชั้นสูงโลกุตรธรรมตราบจนสิ้นพระอรหันต์เป็นที่ สุด สหายอีก 2 ท่านสึกออกมาฝึกในเพศฆราวาส มีเพียงท่านอาจารย์ชาญณรงค์เท่านั้นที่ยังคงเป็นบรรพชิต......................... เมื่อจบออกมาสู่โลกภายนอกแล้ว หลักสูตรขั้นแรกคือต้องฝึกลูกศิษย์ให้ได้ 10 คนเป็นอย่างน้อย ตามหลักวิชาฤทธิ์อภิญญาที่เรียนมาจากในดง เพื่อสร้างคนมีคุณภาพไว้สืบพระศาสนา ศิษย์ที่ไปเรียนในดงลี้ลับ เรียกว่าศิษย์ในดง ส่วนศิษย์ที่เรียกต่อจากศิษย์ในดงเรียกว่าศิษย์นอกดง ถึงแม้นจะอยู่ในป่าเขาตลอดก็เรียกว่าศิษย์นอกดงอยู่นั่นเอง ศิษย์นอกดงรุ่นแรกของอาจารย์ชาญณรงค์เท่าที่ทราบมีหลวงพ่อคูณ ผู้โด่งดังในยุคปัจจุบัน เสือดำ ผู้ล่องหนหายตัว ซึ่งต่อมามีบารมีธรรมถึงขนาดหลวงตาดำมารับเข้าไปอยู่ในดงลี้ลับแล้ว อีกท่านมีนามว่า อาจารย์ละมูล ส่วนอาจารย์พันเอกชม เป็นศิษย์รุ่นหลัง และหลายสิบท่าน ซึ่งไม่ขอเอ่ยชื่อ เพราะไม่ได้ขออนุญาตเจ้าของชื่อ.................... การศึกษาในดงของอาจารย์ชาญณรงค์นั้นมีขั้นตอนต่างๆ ตามลำดับดังนี้ (จากบันทึกของอ.พันเอกชม ซึ่งไต่ถามพระอาจารย์ของท่าน) 1. เมื่อเริ่มต้นไปฝึกสมาธิในดง ท่านสั่งให้นั่งสมาธิ รู้สึกนานเตรียมเลิกเอง พระอาจารย์ใหญ่(คือหลวงตาดำ) จะก้าวข้ามหัวไปเหยียบมือไว้ พูดว่า "เอ้านั่งให้มันตายไป" 2. สมาธิดีพอควรแล้วให้ไปนั่งสมาธิในทางเสือผ่าน และสั่งว่าถ้าไม่อยากตายให้นั่งสมาธิ 3. กำหนดให้เดินธุดงค์คู่แล้วเดินเดี่ยวไปในป่าลึก ในป่าประเทศต่างๆ หลายแห่ง บางครั้งต้องอดอาหารหลายวัน 4. สอนให้ใช้พลังจิตจากง่ายไปหายากตามลำดับขั้นของสมาธิ การทำใบไม้ให้เป็นสัตว์ เดินลอดภูเขา เป็นต้น 5. นั่งเข้าฌานให้ได้ในสภาพอากาศต่างๆ กัน เช่น เข้าฌานในทะเลทรายที่ร้อนจัดตามที่ท่านกำหนดให้ ฝึกอยู่ในทะเล 20 วัน 6. เดินในเมืองตามเส้นทางที่ท่านกำหนด โดยไม่ให้พักเลย นอนได้วันละ 3 ชั่วโมง ไม่ให้เข้าอยู่ใต้ชายคา 7. ไม่ให้พูด 15 วัน และกำหนดเส้นทางให้เดิน 8. ให้เป็นคนขอทานครบ 27 วัน ไม่ให้เงิน วันหนึ่งให้ขอ 2 คน ขออาหารกิน 5 แห่ง ขอเงินจากคนหนึ่งเพียงบาทเดียว ต่อไปต้องหาใช้คืนเขา 2,500 บาท 9. ช่วยแก้ทุกข์ของคนตามกำหนด เช่น ช่วยรักษาคนป่วยโรคมะเร็ง คนติดเฮโรอีน คนขอย้ายที่ทำงาน เป็นต้น 10. เรียนจบปีที่ 6 แล้วให้โดดลงเหวลึกสลบไป 4 วัน ให้รู้เห็นว่ามีกายทิพย์ออกจากร่างไปเที่ยวไกลๆ เหมือนคนตายแล้วฟื้น หรือที่ตายจริง เป็นการเรียนรู้การตายว่าตายอย่างไร 11. นั่งบนน้ำแข็ง 20 วัน ที่เมืองซีแอตเติล ในอเมริกา เมื่อ 31 สิงหาคม 2526 12. ขั้นสุดท้ายฝึกล่องหนหายตัว ขั้นนี้รวมฝึกพร้อมๆ กันทั้ง 8 ท่าน เมื่อมาถึงขั้นนี้หากเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคอะไรก็ดีท่านห้ามรักษา ไม่ว่าจะด้วยยาสมุนไพรหรือพลังจิต ให้เรียนรู้การเจ็บป่วย................ ท่านอาจารย์ชาญณรงค์ ท่านเป็นโรคริดสีดวงทวาร ท่านก็ปล่อยไว้อย่างนั้นไม่ยอมรักษาจนอาการหนักเขา ลูกศิษย์นำท่านไปโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ก่อนจะสิ้นใจท่านสั่งโยมอุปัฏฐากไว้ว่า ให้จัดศพอย่างไร ห้ามหมอฉีดยากันเน่าเหม็นให้คงธรรมชาติไว้ที่สุด เมื่อท่านสิ้นใจแล้วเขาก็แต่งศพท่านตามคำสั่ง แล้วนำศพไปเก็บไว้ที่ศูนย์ฝึกวิชาของท่านแก่ศิษย์ๆ แถวถนนวงแหวนพุทธมณฑล เมื่อครบ 7 วัน ก็ทำบุญให้ท่าน เขาเปิดดูศพก็เหมือนคนนอนหลับ ทั้งไม่มีกลิ่นเหม็นใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากกลิ่นอับเท่านั้น พอครบ 50 วันก็เปิดศพอีกทีหนึ่ง ปรากฏรูปหน้าไม่ใช่ท่านแล้ว อาจารย์พันเอกชมเอามือเข้าไปควานดูภายในก็มีแต่ว่างเปล่า หามีร่างกายของท่านไม่ คงเห็นแต่ภายนอกว่ามีศีรษะ เท้า 2 ข้าง และมือ 2 ข้าง ที่โผล่ออกจากผ้า ท่านจึงถ่ายรูปไว้ แล้วนำมาขยายให้เท่ากับใบหน้าคน..................... ปรากฏว่าใบหน้าศพกับหน้าของท่านไม่มีร่องรอยสักนิด แต่ใบหน้านั้นเหี่ยวแห้งแล้ว เป็นหน้ายาวรูปหน้าเหมือนหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี มีไฝเม็ดใหญ่ที่แก้มขวา ฟันล่างเกและห่าง ซึ่งจากคำบอกเล่าของศิษย์บอกว่า ฟันของท่านอาจารย์ชาญณรงค์ขาวสะอาด เรียงเป็นแถวสวยงามดุจไข่มุกที่ร้อยเป็นทาง ไม่มีลักษณะฟันเกเลย ซึ่งผิดกับศพอย่างเห็นได้ชัด จึงสันนิษฐานว่าท่านใช้วิชาสับเปลี่ยนร่าง หรือเนรมิตร่างตายแทน แล้วล่องหนหายตัวไปอยู่ในดงลี้ลับแล้ว.................. ซึ่งเรื่องนี้มีตัวอย่างของพระในดงรูปอื่นๆ ในอดีตเป็นเรื่องเทียบเคียง เช่น หลวงปู่โพรงโพธิ์ ทนคนมารบกวนมาขอหวยไม่ไหว จึงให้เสือมาคาบร่างไปกลางคืน วันต่อมาชาวบ้านไปพบศพของท่านก็เสียใจร้องไห้ แล้วทำการฌาปนกิจศพของท่าน อยู่ไม่นานก็มีคนไปพบท่านยังมีชีวิตอยู่ในโพรงโพธิ์เหมือนเดิม จึงไปนิมนต์มาอยู่วัดที่สร้างขึ้นมานั้นอีก แล้วต่อมาก็มีคนไปพบท่านอีกที่นั่นบ้าง ที่นี่บ้าง และหลวงพ่อโอภาสี ซึ่งเป็นศิษย์ของขัวขี้เถ้า เมื่อมรณภาพแล้ว มีชาวอินเดียที่มาเมืองไทยมาเห็นภาพของท่านบอกว่า เขาเห็นพระรูปนี้อยู่ที่อินเดีย ยืนยันว่าเป็นคนเดียวกับภาพที่เห็นนี้จริง................. ผู้ที่ฝึกสำเร็จเมื่อไปอยู่ในดงลี้ลับแล้ว เมื่อจากไปมีอายุเท่าไรก็จะมีอายุเท่านั้น เป็นอมตะหรือยืนยาวถึงหมื่นปี เพราะโลกของชาวบังบดหรือเมืองลับแล คนที่ไปอยู่ที่นั่นจะต้องอายุยืนยาว พระอาจารย์ชาญณรงค์ท่านเล่าให้ศิษย์ฟังว่า เมื่อเจ้าไปอยู่ดงใหม่ๆ นั้น ท่านเห็นพระรูปหนึ่งแก่หง่อมมาก ตัวสั่นงกเงิน เดินหลังโกงเหมือนมีอายุมากที่สุดในดง เมื่อสอบถามดูปรากฏว่ามีอายุน้อยกว่ารูปอื่นๆ ที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ราว50-60 ปี ที่เป็นเช่นนี้เพราะฝึกตอนแก่ เมื่อสำเร็จแล้วเข้าไปอยู่ในดง ท่านก็จะปรากฏในวัยนั้นตลอดไป บางท่านเห็นหน้าในวัยกลางคน เมื่อถามอายุกลับประมาณไม่ได้ว่ากี่ร้อยปี................. การมีอายุยืนยาวของท่านเหล่านี้ จะเป็นด้วยการบำเพ็ญอิทธิบาทธรรมตามหลักของพระพุทธเจ้า ถ้าทรงบำเพ็ญอิทธิบาทธรรมก็ต้องอยู่ในอีกมิติหนึ่งเช่นท่านเหล่านี้ จึงสามารถมีอายุได้เป็นกัลป์ดุจพระไตรปิฎกกล่าวถึง หรือว่าเพราะบรรดาท่านที่อยู่ในดงลี้ลับฉันยาอายุวัฒนะแล้วเข้าสมาบัติทุก เดือน จึงมีอายุนานเป็นร้อยเป็นพันปี..................... พระอาจารย์ชาญณรงค์เคยเล่าให้ศิษย์ฟังว่า..เรื่อง บุญบารมีของคนนี้มันแตกต่างกัน มีวาสนาบารมีทางไหนก็ไปทางนั้น ถ้ามีทางธรรมแก่กล้ามาแต่ชาติปางก่อนและมีความเกี่ยวพันกับพระอาจารย์ในดงมา ก่อน ท่านจะรับตัวไปฝึกตั้งแต่เด็ก เช่น ผู้ที่หลวงตาดำมารับเข้าไปอยู่ในดงตั้งแต่เด็กน้อยมีอยู่คนหนึ่ง มีปานเป็นรูปใบโพธิ์อยู่หน้าผาก ความพยายามเฟ้นหาลูกศิษย์เพื่อ ถ่ายทอดวิชาของพระอาจารย์ในดงนี้ มีจุดประสงค์ก็เพื่อแก้ไขพระศาสนาในยุคกึ่งพุทธกาลและรับสงครามใหญ่ที่จะ เกิดขึ้น จากนั้นท่านจะเปิดตัวและทำการชำระพระศาสนาให้บริสุทธิ์ ตั้งแต่นั้นคนจะเห็นโทษเห็นภัยของความชั่วคนชั่วจะพากันตายในสงครามเป็น จำนวนมาก คนที่เหลือเป็นคนมีบารมีพอโปรดได้ พระศาสนาจะเจริญรุ่งโรจน์ขึ้นอีกครั้ง บรรดาเหลือบศาสนาต่างๆ จะหมดไปมิจฉาทิฐิก็จะหมดไป เพราะเห็นแจ้งถึงความจริงต่างๆ ทุกวันนี้ท่านก็เริ่มเปิดตัวขึ้นมากแล้วเพื่อเตรียมการณ์..................... ประเทศไทยเรานี้มีอะไรดีๆที่แตกต่างจากประเทศอื่น ถึงจะดีจะชั่วอย่างไรเราก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองป้องกันมาตลอด ผู้ที่ป้องกันเราไว้คือพระอาจารย์ในดงนี่เอง เสียงจากในดงเล่าว่า...การที่ไทยเราไม่เสียเมืองให้อังกฤษเพราะอภินิหารของสมเด็จกรมพระราชวังบวรวิเศษชัยชาญ อาจารย์ในดง ซึ่งไปเหยียบเรืออังกฤษหรือฝรั่งเศสก็ไม่แน่ใจจนเรือเอียง ทำให้ฝรั่งเห็นว่าในหลวงของเราทรงมีพระบรมเดชานุภาพมาก จึงพากันถอยออกไป พระอาจารย์ในดงได้ช่วยเหลือประเทศชาติของเราให้หลุดพ้นจากมหาวิบากในรูปแบบ ที่แตกต่างกัน เราจึงเป็นหนี้บุญคุณของท่านโดยไม่มีโอกาสได้รู้ได้เห็น เพราะท่านเหล่านี้ทำอะไรไม่หวังผลตอบแทน ไม่ว่าจะเป็นเกียรติยศ ชื่อเสียง หรือลาภสักการะ ทำแล้วก็แล้วกัน ขอให้ผลเกิดขึ้นมาเป็นดี ประชาชนมีความร่มเย็นเป็นสุขก็เป็นอันใช้ได้......................... ในวงการปฏิบัติธรรม หากพระภิกษุหรือฆราวาสท่านใดมีจิตใจมุ่งมั่นในการปฏิบัติกรรมฐาน ชอบหลีกเร้นท่องเที่ยวอยู่ในดงดุจพญาราชสีห์ พระอาจารย์ในดงท่านจะไปโปรดช่วยเหลือแนะนำสั่งสอนเอง แม้แต่หลวงปู่ทวด และหลวงปู่โต สมัยที่ท่านหายไปหลายปี ท่านก็เข้าไปอยู่ในดงกับหลวงตาดำ เช่นกัน สิ่งละอันพันละน้อยที่หยิบออกมาจากบันทึก เท่าที่ข้าพเจ้าจะพอสรุปได้มีเพียงเท่านี้พอเป็นหลักฐานของครูบาอาจารย์ในดง ลี้ลับ..................... ขอขอบพระคุณและโมทนาบุญอย่างสูงสำหรับข้อมูลจาก : • หนังสือโลกทิพย์ ปีที่ 14 ฉบับที่ 308 ประจำเดือนพฤศจิกายน 2538: สันยาสี เรียบเรียง. หน้า18-58.มวลสารที่สอบถามมาจากหลวงพ่อสงกรานต์ ท่านว่าเป็นมวลสารเก่าท่านเจ้าพระคุณสมเด็จโต สมเด็จพระสังฆราชแพและหลวงพ่อพลอยวัดเงินได้รับมาจากกุฎิท่านเจ้าพระคุณสมเด็จโต สมเด็จพระสังฆราชแพเคยนำมาจัดสร้างพระพิมพ์สมเด็จรุ่นเลื่อนสมณศักขณะท่านอภิชิโตปลุกเสกไฟฟ้าอยู่ๆก็ดับหมดรวมถึงบริเวณใกล้เคียงด้วย ปลุกเสกครบ สามารถใช้ทำน้ำมนต์ได้พระชุดนี้ตอนผมได้มาไม่รู้ข้อมูลใดๆ เมื่อได้มาจากวัดทอง ก็นำมาให้ร่วมบูชาทำบุญกันส่วนหนึ่งบูรณะอุโบสถเก่าวัดทองอีกส่วนสร้างพระ ถวายหลวงพ่อสิริ ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีพลังงานดีมวลสารดี เคยนำไปตรวจสอบทางในก่อนที่จะได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อสงกรานต์ช่วยเล่าให้ ฟัง ได้ข้อมูลตรงกันว่าเป็นผงเก่าที่สมเด็จโตเก็บไว้ที่กุฎิที่สมัยที่ท่านอยู่ ที่วัดระฆังผงวิเศษคืออะไร ?................... "ผงวิเศษ" 1. ผงอิธิเจ 2. ผงปัถมัง 3. ผงมหาราช 4. ผงตรีนิสิงเห 5. ผงพุทธคุณ เป็นผงเกร็ดของผงปัถมัง ซึ่งคนที่ลบผงเป็นหรือมีครูบาอาจารย์ที่ลบผงเป็นจะรู้............ ผงวิเศษ ทั้ง 4 อย่างที่กล่าวมานี้ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้สำเร็จจากการเขียนขึ้นจากสูตรมูลกัจจายานบล๊อคพิมพ์พระชุดนี้นี้อยู่กับศิษย์ท่านอภิชิโต ท่านอภิชิโตกับลูกศิษย์ช่วยกันกดพิมพ์เมื่อปี2529 ท่านอภิชิโตเสกเดี่ยวอัญเชิญปู่ใหญ่และครูบาอาจารย์ อิทธิคุณครบสามารถทำน้ำมนต์ได้เคยมีการนำพระสมเด็จรุ่นแรกปี 2485 ของท่านไปกราบขอตรวจสอบจากหลวงพ่ออุดม วัดพิชัยสงคราม อยุธยา ผู้ซึ่งมีกระแสจิตไวเป็นที่รับรู้กันดี ท่านจับพระไปสักครู่หนึ่งแล้วหันมาถามว่า พระของใคร ยังมีผู้ทำพระได้ดีขนาดนี้อีกหรือ เมื่อบอกว่าของหลวงพ่อชาญณรงค์ ท่านบอกว่าไม่เคยรู้จักเลย แต่เมื่อบอกเพิ่มว่าเป็นพระในดงศิษย์หลวงตาดำ ท่านบอกทันทีว่า หลวงตาดำน่ะรู้จัก พระสายนี้เก่งทั้งนั้น เมื่อเอาพระผงรุ่นสุดท้ายให้ท่านตรวจสอบอีก ท่านบอกว่ารังสีพระวัดระฆังมาก่อน ท่านเป็นทั้งศิษย์ในดงและอาจารย์ในดงพร้อมๆกัน แต่ที่ท่านทำไว้น้อยด้วยเพราะของที่ท่านทำเองนั้นจะก่อให้เกิดเรื่องเหนือโลกในวันหน้าและกลัวว่าจะมีคนนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ในทางที่ถูกที่ควร และคนที่ควรจะได้สงเคราะห์มีไม่มากนักและไม่ใช่ทุกคนไป วัตถุมงคลของท่านที่ยอมรับในสากลและถือเป็นสิ่งที่ท่านทำไว้ด้วยตัวเอง มีรูปแบบ มีเอกลักษณ์ และมีมาตรฐานชี้ชัด และนิยมเสาะหากันมานานแล้วคือ -สมเด็จรุ่นแรกปี 2485 กรุวัดลาดบัวขาวโดยสมภารยอด เจ้าอาวาสยุคนั้นขอท่านสร้าง -สมเด็จดำสร้างไว้เป็นครั้งแรกเพียงไม่กี่องค์ -สมเด็จขาว -สมเด็จน้ำตาล -สมเด็จเขียวสร้างและปลุกเสกในถ้ำที่ลพบุรี -สมเด็จแดง สร้างครั้งแรกเมื่อ 2493 มีทั้งพิมพ์เล็กและพิมพ์ใหญ่ -พระบูชา "พระพุทธเมตตา" จำนวนน้อยมาก -พระผงปี 16 และพระสมเด็จฝังพระธาตุมีสร้างไว้ประมาณเพียง 100 กว่าองค์ -พระเนื้อผงรุ่นสุดท้ายปี 2529 เป็นรุ่นที่ท่านใส่มวลสารอันเป็นที่สุดลงไปทั้งหมด -เหรียญรูปเหมือนเนื้อทองเหลือง จากกองกษาปณ์ มีพิมพ์เดียว เนื้อเดียว -เหรียญพระพุทธ "เบญจพิทักษ์" มีเนื้อทองแดงเพียงเนื้อเดียว มีแบบเดียว

BRIDGESTONE ลด 15% ที่ YELLOWTIRE.COM

เราคัดสรร พระเด่น พระดี ระดับคุณภาพ มากกว่า 100,00 รายการมารวมไว้ ที่นี่!!

พระเครื่องในร้าน
พระเครื่องที่คล้ายกัน

แม็กกาซีนพระ เรารวมสาระความรู้ และ บทความเกี่ยวกับพระที่น่าสนใจ