ต้องตรวจสอบพระ และ ตกลงเงื่อนไขการรับประกัน ให้เรียบร้อย
หากไม่เคยติดต่อ หรือรู้จักผู้ให้เช่ามาก่อน
แนะนำให้นัดดูองค์จริง
กุมารทองไม้แกะหลวงพ่อจง(พระเครื่องราชพัฒน์)
หลวงพ่อจง พุทธัสสโร ท่านเป็นพระที่เคร่งครัดในการปฏิบัติกรรมฐานอันเป็นเครื่องชำระจิตให้หมดจด จากกิเลสเครื่องเศร้าหมองอยู่เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่ใดก็ตาม ในขบวนการใช้อุบายแยบคายอบรมบ่มจิตให้ได้รับความสงบ จนบังเกิดเป็นสมาธิและฌาน กับอาการอบรมจนให้ดวงจิตบังเกิดปัญญาที่เรียกว่า วิปัสสนากรรมฐาน ก็ดี หลวงพ่อจงพอใจชอบใช้ฝึกจิตในแนวทางเรียกว่าอสุภะมากกว่าวิธีอื่น อสุภะ ตามความหมายก็คือ หมายความถึงสิ่งอันเป็นซากของวัตถุ หรือซากร่างปราศจากชีวิตอันไร้ความน่าดู ปราศจากความสวยงาม ตรงข้ามน่าพึงชังรังเกียจ น่าพึงเบื่อหน่าย ขยะแขยงสะอิดสะเอียน หลวงพ่อจงพอใจใช้วิธีการเพ่งอสุภะ เป็นแนวทางอบรมบ่มจิต ก็เพราะได้คิดว่า มันเป็นการช่วยให้ตนสามารถมองเห็นชัดด้วยตาและบังเกิดความรู้สึกในใจให้คิด สังเวชอย่างซาบซึ้งถึงความจริงในข้อที่ว่า ตนและสรรพสัตว์ เมื่อต้องมีอันเป็นไปบังเกิดเป็นความตายแล้ว ก็ต้องมีสภาพน่าอเนจอนาถ ไม่น่าดู ไม่น่ารัก แต่น่าชัง น่ารังเกียจ ทุเรศอุจาดตา ดังนี้ด้วยกันทั้งนั้น และเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหนีพ้น ซึ่งจากข้อคิดนี้ จะทำให้ดวงจิตแห้งแล้งหดหู่ ปราศจากความร่านยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ปราศจากความหลงงมงายคิดว่าร่างกายเป็นสิ่งสวยงาม จะได้เป็นเครื่องบรรเทาอัสมิมานะ คือความสำคัญผิดเพ้อเห็นไปว่า ร่างกายนั้นหนอ มันเป็นตัวตนของเขาของเราจริงแท้ ซึ่งความจริงมันมิใช่ ความจริงมันเป็นเพียง อัตตะ ปราศจากตัวตน เป็นที่รวมอยู่ของธาตุทั้งห้า ชั่วครั้งคราวโดยสภาวะปรุงแต่งแวดล้อม ครั้นถึงกาลเวลาก็แตกดับล่วงลับสลายไป ไม่เป็นเขาไม่เป็นเรา ดังนั้นจึงไม่บังควรไปหลงคิดรัก หลงหวงแหน หลงป้อยอ หลงรับ ใช้หาของกินรสโอชะ หรือหลงไหลกดขี่ขูดรีดคนโกงแย่งชิงสรรพสิ่งจากที่อื่นสิ่งอื่นไปบำรุงบำเรอ มัน เพราะอย่งไรในที่สุดก็ไม่พ้นเสียเปล่าและสูญสิ้นเปล่า เหมือนชีวิตไม่เคยมีใครรักษามันไว้ได้ หลวงพ่อจง ชอบเพ่งมองอสุภะ คือรูปเน่าเปื่อยของศพที่มีผู้เอามามอบให้ และท่านเก็บไว้ในห้องที่จัดไว้พิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งซ่อนเร้นมิให้ประเจิดประเจ้อต่อความรู้เห็นของผู้อื่น ท่านจะใช้เวลายามปลอดและสงัดผู้คนเข้าห้องพิเศษ พร้อมด้วยดวงเทียนหรุบหรู่ เข้าไปนั่งเฝ้าเพ่งมองดูรูปศพคนตาย ไม่เลือกว่าจะเป็นศพขึ้นอืดจนเป็นน้ำเหลืองหยด จะมีกลิ่นเหม็นหรือเป็นซากศพแห้งเหี่ยวย่น หน้าตาน่าเกลียดเพียงใด ท่านก็จะเฝ้าจ้องมองเพ่งดูอย่างจริงจัง เพ่งมองให้เป็นภาพติดตาจนจำขึ้นใจว่า ศพนั้นท่าทางรูปร่างเป็นอย่งนี้ แห้งเหี่ยวเป็นรอยย่นผิดหน้าตามนุษย์ธรรมดายังงั้นยังงี้ หรือมีน้ำเหลืองหยดเพราะอาการเน่าเปื่อยตรงนั้นตรงนี้ พร้อมกันนั้น ก็กระทำจิตให้บังเกิดอารมณ์สังเวชว่า รูปกายเกิด เกิดมาแล้วก็ต้องถึงวาระมีอันเป็นเบียดเบียนให้เจ็บป่วย ถูกทำร้ายหรือบังเกิดอุบัติเหตุเป็นภัยอันตรายถึงตาย ตายแล้วก็มีอาการน่าอเนจอนาถต่าง ๆ นานา เป็นเช่นนี้เสมอไป ร่างกายหนอ...ชีวิตหนอ...ต่างล้วนเป็นภาพน่าอนาถ น่าสังเวช น่าชิงชัง น่าเบื่อด้วยกันทั้งนั้น เช่นนี้แล เกี่ยวกับการพิจารณาซากอสุภะของหลวงพ่อจงนี้เคยมีผู้สงสัยถามว่า เมื่อทำดังนี้และปลงอารมณ์ได้ดังนี้แล้ว จะบังเกิดประโยชน์อะไร หลวงพ่อจงให้คำตอบว่าได้ประโยชน์คือ ทำให้ไม่หลงไหลรักตัวตนว่าเป็นตัวตนของเขาของเรา มันเป็นแค่ชีวิตกายที่ก่อสารรูปขึ้นได้ด้วยสภาวะแวดล้อมของธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ เข้ารวมตัวกัน ความคิดเห็นแก่ตนเองเอาเปรียบเบียดเบียนผู้อื่นจะหย่อนหายไปจากสันดาน โลภโมโทสัน เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งขัดเกลาสันดานจิตใจให้ผ่องใสสะอาด หากมนุษย์อันเป็นตัวสมมุติของกายเกิด ไม่หลงนึกแยกประเภทของกายเกิดว่านั่นเป็นเขา นี่เป็นเรา ดังนี้แล้ว การอยู่ร่วมกันในสังคม บ้านเมือง ตลอดทั่วโลกก็จะมีแต่ความสงบสุข ไม่ต้องมีการดิ้นรนจองล้างจองผลาญย่ำยีต่อกัน นั่นคือคำตอบอันเป็นการไขข้อสงสัยในกรรมฐานที่ท่านพิจารณาอยู่ทุกเมื่อของ หลวงพ่อจง หลวงพ่อจง ออกธุดงค์ การปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อจง มิใช่จำเพาะอยู่แต่ภายในวัดหน้าต่างนอก ที่ท่านรับหน้าที่มาดูแลในฐานะเจ้าอาวาสเท่านั้น แม้ยามว่างเว้นจากกิจอันเป็นภาระตามหน้าที่ที่ศรัทธาญาติโยมมอบหมายให้ ท่านจะปลีกตัวออกไปหาความสงบสงัดยังสถานวิเวก ยังป่าเขาลำเนาถ้ำอยู่เสมอ ๆ โดยเฉพาะในช่วงออกพรรษา การเดินทางไปฝึกจิตภาวนาของหลวงพ่อจงนั้น มักจะนิยมไปเพียงลำพัง เพราะท่านว่าเป็นการตัดภาระไม่ต้องพะวักพะวงกับบุคคลอื่นซึ่งเป็นผู้ร่วม เดินทาง แต่ถ้ามีพระเณรประสงค์จะร่วมเดินทางด้วย ท่านก็มิขัดข้องแต่อย่างใด และในทุกสถานที่ทุกถิ่นฐานที่ท่านผ่านไป หากมีสถานที่สำคัญทางศาสนา ปูชนียวัตถุ ปูชนียสถานต่าง ๆ ท่านมักจะต้องแวะเข้าไปกราบนมัสการน้อมรำลึกเป็นพุทธสังเวชเสมอ ฉะนั้น ไม่ว่าสถานที่สำคัญใดในประเทศ จะเป็นรอยพระพุทธบาทก็ดี พระเจดีย์ธาตุก็ดี หลวงพ่อจงท่านไปนมัสการมาจนหมดสิ้นแล้วทั้งสิ้น ไปพม่า ภายหลังจากที่ได้เคยเดินทางบุกดงรกชัฏท่องป่า ข้ามภูเขาและห้วยละหานเหวไปกระทำนมัสการบูชารอยพระพุทธบาท และเจดีย์สำคัญทุกแห่งในเมืองไทยแล้ว หลวงพ่อจงได้ยินเขาเล่าว่า ประเทศพม่ามีเจดีย์สำคัญสูงใหญ่ คือ พระมหาเจดีย์ชะเวดากอง ท่านก็เกิดความกระตือรือร้นใคร่จะได้ไปนมัสการทันที แต่เมื่อปรารภเรื่องนี้ให้ญาติและเพื่อนภิกษุสงฆ์ผู้ใหญ่ฟังแล้ว ส่วนมากทักท้วงให้ระงับยับยั้งมิอยากให้ไป ต่างอ้างเหตุผลว่า หนทางมันไกลนัก อีกอย่างเป็นเมืองต่างด้าวพูดกันไม่รู้เรื่อง ประการสำคัญคือ ถนนหนทางที่จะไปก็ไม่มีเส้นสายแน่นอน นอกจากจะต้องเดินวกเวี้ยวเลี้ยวลัดและมุดลอดไปตามดงทึบหรือป่าเถาวัลย์ไม้ พุ่มไม้เลื้อย นานาชนิด ด่านแรก สำคัญที่สุดคือจะต้องบุกฝ่าไปในพงพญาเย็น ดงพญาไฟ ซึ่งครั้งกระนั้นรกชัฏ ยามร้อน ร้อนจัด ยามเย็น เย็นยะเยือกและชื้นแฉะ จนได้รับสมญาขนานนามเป็นดงผีห่า ผู้เดินทางผ่านดงยิ่งใหญ่ทั้งสอง ซึ่งมีระยะยาวนับเป็นร้อย ๆ กิโลเมตร มีสภาพถูกปกคลุมไปด้วยไม้ใหญ่เป็นดงทึบจนมองไม่เห็นแสงแดด เต็มไปด้วยไม้เลื้อยพัวพันกันเป็นพืดเหมือนแนวกำแพงชั้นแล้วชั้นเล่าไม่มี ที่สิ้นสุด นอกนี้ก็เต็มไปด้วยหินแหลม หินคม โขดเขา หุบเหวใหญ่น้อย เต็มไปด้วยสรรพสัตว์ร้ายทั้งทวิบาท จตุบาท กับอสรพิษสัตว์เลื้อยคลานร้อยแปดพันอย่าง ซึ่งหากพลั้งเผลอปราศจากระวังพริบตาเดียว ก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่า ยิ่งกว่านั้น ในเรื่องมดหมอหยูกยา หลวงพ่อจงก็ขาดปราศจากความรู้ ผู้จะเป็นเพื่อนเดินทางไปด้วยก็เช่นกัน ฉะนั้น แม้จะรอดจากเขี้ยวเล็บสัตว์จตุบาท ไหนเลยจะรอดจากโรคภัย โรคเฉพาะจากดงใหญ่มหากาฬพญาเย็นพญาไฟ ซึ่งขึ้นชื่อลือกะฉ่อนว่า เป็นดงผีห่ามหาประลัยไปพ้น เปล่า...ใครจะชักแม่น้ำทั้งห้ากีดกันขัดคออย่างไรไม่เป็นผล หลวงพ่อจงไม่เถียง ไม่แม้แต่จะหาเหตุผลใดเข้าหักร้างหักข้อแย้ง เป็นแต่เพียงหัวเราะ หึ หึ ตีหน้าตายเสมือนมิได้แยแสต่อสรรพสิ่งน่าสยดสยองน่ากลัวตามคำบอกเล่าเหล่า นั้นแม้แต่น้อยนิด คำพูดของท่าน พูดสั้น ๆ ห้วน ๆ ตามนิสัย ซึ่งผู้ฟังฟังแล้วรู้สึกได้ทันทีว่า ลงพูดอย่างงั้นเอาช้างฉุดไว้ก็ฉุดไม่อยู่ ท่านว่า "ไม่เป็นไรน่า ทั้งฉันก็ศรัทธาอยากไป จริง ๆ ด้วย" เมื่อปณิธานมั่นคงไม่เอนเอียง ไม่ทรุดต่ำต่อเหตุผลของใครในใจท่านแน่วแน่เป็นประการฉะนี้ การทักท้วงทัดทาน มิว่าด้วยเหตุผลน่าหวั่นไหวอย่างใด ไม่ทำให้ท่านเอนเอียงย่อท้อถอยหลัง หลวงพ่อจงปักหลักเจตนาของท่านไม่มีแคลนคลอน ตั้งจิตจะไปนมัสการพุทธเจดีย์ชะเวดากอง ไม่ว่าอยู่พม่าหรือมุมใดของโลกก็ต้องไปให้ถึงจนได้ เพื่อกระทำไตรสรณาคมน์สักการะให้สมศรัทธาซึ่งจงใจใฝ่ฝันไว้ กลางป่าพญาไฟ ดังนั้น เมื่อได้โอกาสที่กำหนด หลวงพ่อจงท่านก็แต่งบริขารเท่าที่จำเป็น พร้อมด้วยกลดสำหรับกางนอนแบบธุดงค์ ได้ออกเดินจาริกด้วยเท้าเปล่า โดยลำพังรูปเดียวโดยเดี่ยวเอกา เดินท่อม ๆ ออกจากอาวาสวัดหน้าต่างนอก บุกฝ่าไปตามทางน้อยทางลัดมุ่งสู่สระบุรี ที่วัดพระพุทธบาท ได้พระภิกษุผู้มีจิตศรัทธาติดตามไปอีกสองรูป จากนั้นเมื่อไปถึงชายแดนลพบุรี ซึ่งเป็นทางออกสู่ดงพญาเย็นพญาไฟ ก็ได้ภิกษุอีกสองรูปร่วมเดินทางไปด้วย รวมเป็นห้ารูปทั้งหลวงพ่อจง และทั้งห้ารูปไม่มีศิษย์แม้แต่สักคนติดตามไปรับใช้ปฏิบัติวัฏฐาก เพราะดงพญาเย็นพญาไฟสมัยยุคนั้น มีอาณาบริเวณซึ่งรกชัฏกว้างไพศาล เป็นอาณาเขตรกทึบ มืดครึ้มไปด้วยดงไม้ใหญ่สูงชะลูด เมฆบดบังแสดงอาทิตย์ไม่ให้ส่องต้องพื้นดินใบหญ้า พื้นแผ่นดินก็ทึบมืดชื้นแฉะเต็มไปด้วยกลิ่นเน่าของใบไม้และดินโคลน หอยทาก งูเล็ก งูใหญ่ ตะขาบ แมงป่อง บรรดาสรรพสัตว์ร้ายยั้วเยี้ย เพ่นพ่านสลับสลอน สภาพภูมิพื้นที่เป็นเช่นนี้ เป็นธรรมดายากจะหาชาวบ้านคนใดไปทนทรมาน ยกบ้านสร้างกระท่อมอาศัยอยู่ เพราะจะทำมาหากินทางกสิกรรมหรือป่าไม้และอื่นใดในบริเวณย่านนั้นก็ย่อมไม่ เป็นผล จะทำไร่ไถนาหาใส่ท้องก็ยิ่งจะไม่ได้ โดยสภาพปกติที่เป็นเช่นนั้นแล้ว ใครเล่าจะนำตัวไปอยู่ในท้องถิ่นเปรียบเสมือนนรกได้ลงคอ ด้วยเหตุผลประการฉะนี้ ทุกย่างก้าวของระยะทางที่เดินเป็นวัน ๆ ในท่ามกลางดงพงพีอันสงบสงัด แต่วังเวงอย่างน่าสยองขน ต้องระวังเขี้ยวเล็บสรรพจตุบาท ทวิบาท โรคร้ายนานาชนิดจากพื้นดินแฉะตลอดกาล ปราศจากชาวบ้านจะเกื้อกูลถวายกระยาหารบิณฑบาตร ตั้งแต่สระบุรีเข้าดงพญาเย็นพญาไฟ ต้องใช้เวลาถึงสี่วันกว่าจะผ่านไปได้ เพราะหนทางเดินแน่นอนก็คลำหายาก มันเต็มไปด้วยดงหญ้ากับเถาวัลย์พันรกทึบเปิดทางเดินเล็กแคบ ยิ่งกว่านั้นบางตอนหนทางมันก็ไปผ่านห้วยและหุบเหว จนมองหรือสังเกตไม่เห็นได้โดยง่าย ว่าเป็นเส้นทางใช้เดิน บางตอนก็ไปออกทางเกวียนและริมทางน้ำ ซึ่งมีรอยตีนเสือ ช้าง หมี รอยใหญ่ ๆ ก่อให้เกิดความหวั่นไหว แม้จะไม่กริ่งกลัวของภิกษุจอมธุดงค์ทั้งห้าไม่น้อย ซึ่งในการผจญและเผชิญกับการรุกเงียบอย่างโหดเหี้ยมต่อความรู้สึกทางจิตใจ เช่นนี้ของธรรมชาติป่าเขา การเดินทางจึงเป็นไปไม่สะดวก เต็มไปด้วยความขลุกขลักเป็นอุปสรรค หลงทางบ่อย บางวันต้องหลงป่าหาทางใหม่ให้เข้าสู่เส้นทางที่ชาวบ้านใช้ถึงสี่ครั้งหน้า ครั้ง และบางวันเดิน ๆ ไปแล้วไม่รู้ว่าเป็นเวลาไหน ถึงไหนแล้ว ยิ่งกว่านั้น มีโชคร้ายเข้ามารุกรานจิตใจ ในตอนสายของวันที่สี่ ท่ามกลางดงพญาไฟตอนจะออกนครราชสีมา โดยภิกษุผู้ร่วมทางได้อาพาธเป็นไข้ป่าอย่างรุนแรง แม้จะช่วยกันถวายยาที่มีติดไปเท่าไรก็ไม่หาย อาการรุนแรงดุเดือดทรุดเสื่อมอย่างรวดเร็ว คณะทั้งสี่ผู้ไม่อาพาธก็ต้องพักผ่อนเฝ้าดูแลอาการ เพราะมาด้วยกันจะทิ้งไว้เดียวดายนั้นไม่ได้ ที่สุดก็ต้องเสียเวลาอยู่ในป่า โดยเลือกเอาริมเหวที่มีพื้นที่ราบสูงกว่าแห่งอื่นได้แห่งหนึ่งพำนักพักรักษา สหายภิกษุผู้อาพาธ จวบจนวันรุ่งขึ้นตอนสายภิกษุรูปนั้นก็มิอาจทนทานพิษไข้ ก็มรณภาพต่างช่วยกันฝังไว้ตามมีตามเกิดแล้ว บ่ายวันนั้น จึงเดินทางหลุดรอดจากดงพญาเย็นพญาไฟ ผ่านเขตลพบุรีย่างเข้าเขตนครสวรรค์ ฝ่าดงอสรพิษ ที่นครสวรรค์ ได้ภิกษุร่วมเดินทางไปอึกหนึ่งรูป รวมเพิ่มจำนวนเป็นห้าอีกตามเดิม แต่ระหวางนครสวรรค์ถึงพิษณุโลกก็ไม่ใช่ว่าเป็นพื้นที่ราบ เป็นป่าโปร่งมากกว่าป่าทึบ ไม่เหมือนในดงพญาเย็นดงพญาไฟก็จริง แต่บางแหล่งก็เต็มไปด้วยอสรพิษร้าย โดยเฉพาะตอนที่เป็นบึงบรเพ็ดเวลานี้ มีน้ำท่วมเจิ่งและมีบริเวณกว้าง ตามทางที่เป็นป่าริมน้ำ ซึ่งต้องผ่าน มีจระเข้นอนกันอยู่ยั้วเยี้ยอยู่ทั้งสองฟากฝั่ง เหล่างูเห่าและบ้างจงอางเลื้อยเพ่นพ่านไปมา เมื่อได้ยินฝีเท้าแม้จะเดินกันไปรวดเร็วแผ่วเบา สัญชาตญาณระวังภัยและมีสันดานดุโดยกำเนิดของมันตามธรรมชาติ มันต่างชูหัวสูงแผ่พังพานคุกคามภิกษุทั้งห้ารูปอย่างน่าสยดสยอง และดังนั้น แม้จะมีการระมัดระวังกันเป็นอย่างดี โดยพระภิกษุทั้งห้าทุกรูป ไม่มีรูปใดเกรงกลัวมัน ต่างพยายามหลบหลีกเดินหนีมัน ไม่มีเวรกรรมพยาบาทโกรธเกลียดมันด้วยประการใด เจ้างูจงอางตัวหนึ่งซึ่งอาจเป็นคู่เวรจองผลาญมาแต่ครั้งใด กับภิกษุรูปหนึ่งที่มาจากสระบุรี มันก็ได้มีโอกาสจู่โจมฉกกัดท่าน กว่าจะพอกยาหาหมอได้ทันก็หมดเวลา พิษร้ายกำเริบจนทนไม่ได้ ภิกษุรูปนั้นก็ต้องมรณภาพไปอย่างน่าสลดใจ เดินเดี่ยว ผ่านถึงแดนพิจิตร ที่วัดตะพานหินได้ภิกษุอีกรูปหนึ่งขอร่วมทางไปด้วย ตกลงการเดินทางจากพิจิตรมุ่งสู่พิษณุโลก คงมีคณะร่วมทางครบจำนวนห้าตามเดิม แต่จากพิจิตรระหว่างทางเข้าเขตพิษณุโลก ภิกษุจากลพบุรีก็ต้องมรณภาพเสียชีวิตไปอีกรูปหนึ่ง ตอนเดินข้ามลำธารพงรกถูกจระเข้คาบพาไป ทิ้งศพไว้ให้ช่วยกันฝังเพียงครึ่งเดียว จากพิษณุโลกมุ่งเข้าสู่แม่สอดเพื่อทะลุขึ้นเชียงราย โดยหมายเส้นทางเข้าแม่ฮ่องสอนและเข้าสู่พม่าในด้านที่ตั้งชะเวดากอง ภิกษุร่วมทางต่างค่อยมรณภาพไปทีละรูปด้วยโรคไข้ป่า และบ้างขาดอาหารเป็นโรคท้องร่วงอย่างแรง (อหิวาต์) อีกทั้งในตอนระยะหลัง ๆ เมื่อผ่านแม่สอดจนถึงแม่ฮ่องสอนแล้ว ไม่มีภิกษุจังหวัดรายทางเข้าร่วมเดินทางธุดงค์เพิ่มด้วย เมื่อหลุดจากแม่ฮ่องสอนเข้าสู่แดนพม่า จึงคงเหลือหลวงพ่อจงแต่องค์เดียว บุกท่อม ๆ ไป อย่างเอกากายแลโดดเดี่ยวเป็นเวลาอีกสองวัน กว่าจะถึงพม่าได้เข้านมัสการพระเจดีย์ชะเวดากอง ธรรมะประโลมใจ หลวงพ่อจง ยอมรับว่า แรก ๆ เมื่อเห็นสหายร่วมทางมีอันเป็นต้องจากกันไปในสภาพที่เรียกว่า ตาย รู้สึกใจคอหดหู่และสลดจิตคิดสังเวช แต่เมื่อได้ทบทวนหวนคิดได้ว่า อันรูปกายเกิดของมนุษย์และปวงสรรพสัตว์ ก็มีความตายนี่แลเป็นความเที่ยงแท้ ที่ชีวิตตายเกิดทุกรูปนามพึงต้องประสบ รูปกายใด มิว่าจะเป็นผู้มีอำนาจวาสนา มิว่าจะอยู่ในฐานันดรและอยู่ในสภาพมิว่าเยี่ยงใด จะเป็นจอมนักรบผู้เกรียงไกร เป็นจอมมหาราชาผู้มีศักดานำขนพองสยองอำนาจ รูปกายเกิดเหล่านี้ก็จะต้องประสบกับมรณสัญญาณเป็นปริโยสานด้วยกันทั้งนั้น มิว่าจะในลักษณะการละม้ายแม้นเหมือน หรือแตกต่างกันในบทบาทเคลื่อนไหวอย่างใดก็ตาม มฤตยูมิยอมยกเว้น หรือแม้แต่จะให้มีการผ่อนผันให้รูปกายใดผัดผ่อน ประกันวันตายยืดออกไป เมื่อปลงตกคิดเห็นสาเหตุความต้องตายเป็นอย่างนี้ จิตก็รู้สึกจืดชืดต่อความหวั่นไหวและหวาดเสียวแห่งมรณสัญญาณ มิว่าจะย่างกรายเข้ามาคุกคามในวิธีการเยี่ยงใด ตรงข้ามเมื่อเห็นความตายของผู้อื่น แต่ตนเองยังมิเคยถูกรุกรานให้บังเกิดเหตุเภทภัยย่ำยี กลับทำให้บังเกิดเป็นเจโตวสี คือเพิ่มพูนอำนาจใจให้ทวีความกล้าแข็งยิ่งขึ้น เพราะใจมั่นในธรรม ที่พม่า แม้จะพูดจากันไม่รู้เรื่องในแรก ๆ แต่เมื่ออยู่ไป การใช้ภาษาบุ้ยใบ้บ้าง ใช้ภาษามคธและภาษาพม่าที่สังเกตจดจำไว้ ก็ทำให้รู้เรื่องและได้รับความสะดวกในการอยู่ในพม่าเป็นเวลานานหลายเดือน เป็นอย่างดี ตอนขากลับ หลวงพ่อจงต้องเดินทางเพียงรูปเดียวอย่างโดดเดี่ยวด้วยจิตใจกล้าหาญ ไม่กริ่งเกรงเหตุเภทภัยอย่างใด และได้แวะจำพรรษาที่วัดแห่งหนึ่งที่กำแพงเพชร เพราะคาดคะเนแล้วว่าการเดินทางจะทำไม่ได้รวดเร็วตามกำหนด จึงคิดเห็นว่าสมควรกลับวัดเมื่อรอให้พ้นกำหนดออกพรรษาจะสะดวกกว่า ทั้งขาไปและกลับ หลวงพ่อจง ได้รับความปลอดภัยอย่างอัศจรรย์แต่ผู้เดียว ส่วนภิกษุผู้ร่วมทาง 7 รูป ถึงแก่มรณภาพไปสิ้น หลวงพ่อจงเคยพูดว่า ท่านเองก็ไม่รู้ได้เหมือนกันว่าเป็นเพราะเหตุใด ท่านจึงไม่พานพบเหตุร้ายหรือเจ็บปวดแม้แต่เล็กน้อยก็ไม่เคยมี แต่ระหว่างทางเคยเหยียบหินและลื่นลงหลุมเล็กจนเท้าแพลงสักหนสองหน นอกนั้นไม่เคยประสบเหตุการณ์อะไร จิตใจของท่านก็รู้สึกว่ามันเป็นปกติ ไม่เคยซู่ซ่าพลุ่งพล่านหวาดสยองกับการคุกคามของธรรมชาติอันเป็นวิบาก ทุรกันดาร ไม่เคยกริ่งกลัวต่อความวิเวกวิกาล หรือความอ้างว้างท่ามกลางหริ่งเรไรระงมกลางไพรที่สงัด วิธีใช้วัตถุมงคล หลวงพ่อจง วัดหน้า..... « เมื่อ: ๑๙ มิ.ย. ๕๒, ๑๖:๑๕:๑๔ » -------------------------------------------------------------------------------- ตำหรับของหลวงพ่อจงใช้ทางเมตตามหานิยม มหาอำนาจแคล้วคลาดคงกระพัน แลกันเขี้ยวงา กันไข้ป่าดง กันสัตว์ร้ายทางบกทางน้ำ เป็นเสน่ห์แก่ชายหญิง ไปเหนือไปใต้สารทิศใดมีคนเกรงกลัว เอาไว้แก่ตัวคนพาลจะทำร้ายมิได้ แขวนไว้หัวนอน กันโจรผู้ร้าย กันฟืนไฟต่างๆ ใช้ได้ ๑๐๘ ประการ ดีนักแล เมื่อท่านจะไปไหน ให้ระลึกถึงหลวงพ่อจง ให้ตั้งนะโม 3 หน ?อิทธิ ฤทธิ พุทธนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่ มะอะอุ บัดเดี๋ยวนี้เถิด? ว่าสามเที่ยวหรือเจ็ดเที่ยว ปลาตะเพียนเงิน-ทอง ทำพิเศษของหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก วิธีใช้ปลาตะเพียนเงิน ? ทองคู่ ทำด้วยเนื้อเงินบริสุทธิ์ของหลวงพ่อจงมีดังนี้ ค้าขายทางเรือให้ติดที่หัวเรือ ๑ ตัว ท้ายเรือ ๑ ตัว ถ้าตั้งร้านค้าขาย ให้เอาเชือก ผูกแขวนหน้าร้านทั้งคู่ ถ้าทำนา ทำไร่ และสวน ให้ใส่กระป๋องปิดฝาฝังดินไว้ ป้องกันข้าวกล้า ในนาไม่ให้เป็นอันรายต่างๆ มีหนอนกอเป็นต้น ถ้าค้าขายหาบคอน ให้ใส่ก้นหาบละตัว ถ้าจะไปใหนให้เอาติดไปกับตัวเป็น เมตตามหานิยมแล คาถาสำหรับใช้น้ำพรมปลาตะเพียน ขายของดี นะชาลีติ สัพเพชะนานัง พหูชะนานัง เอหิจิตตัง ปิยังมามา วิธีใช้แหวนรูปของหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อยุธยา แหวนนี้ทำด้วยเงินบริสุทธิ ประกอบไปด้วยคุณพระ ใช้ในทางเมตตามหานิยม คงกระพันแคล้วคลาดและกันเขี้ยวงา กันกระทำผีและคุณ ถ้าตะขาบแมลงป่องกัด ให้ใช้ถูที่แผล ไดผลแก่ผู้ใช้มามาก มีผู้นิยม ใช้ได้ทั้งหญิงชาย ก่อนจะสวมแหวนนี้ ให้ระลึกถึงหลวงพ่อ แล้วตั้งนะโม 3 หน ให้ว่า พุทธังราธนานังกะโรมะ ธัมมังราธนานังกะโรมะ สังฆังราธนานังกะโรมะ พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา หลวงพ่อจงรักษา เมื่อท่านสวมแหวนแล้ว ให้นึกตามปรารถนาเถิด ประสิทธิ์นักแล คุณสมบัติ และวิธีปฏิบัติ ใช้พระยันต์ ตะกรุดมหารูด มงคลชาตรี โทน คำอาราธนาปลุกเสก อธิษฐาน ให้ท่านเอามือลูบคลำตะกรุดว่าดังนี้ ตั้งนะโม 3 จบ พุทธังสะระณังคัจฉามิ ธัมมังสะระณังคัจฉามิ สังฆังสะระณังคัจฉามิ อิติปิโสภะคะวา จนถึงภะคะวาติ ว่าสามจบ พุทธังอาราธนานัง ธัมมัง อารธนานัง สังฆัง อาราธนานัง ขอบารมีของพระพุทธเจ้ากับยันต์ที่เป็นมหารัตนบัลลังก์ ของพระพุทธเจ้านี้ จงดลบันดาลให้เป็นคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดมหาอำนาจ เมตตามหานิยม มหาเสน่ห์แกมนุษยทั้งหลาย โดยอำนาจบารมี ของพระพุทธเจ้ากับยันต์มหารัตนบัลลังก์ ขออาราธนาจงบันดาลโดยเร็ว พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา พระบิดารักษา พระมารดารักษา พระอินทร์รักษา พระพรหมรักษา ครูบาอาจารย์รักษา อิมังองคพันธนังอธิษฐามิ แล้วจึงปลุกเสกในยามฉุกเฉิน ด้วยคาถานี้ อิติสุคะโต อุสุวิหิสุ พุทธะสังมิ พุทธะสังมิ มะอะอุ อุกัณหะเนหะ อุทธัง อัทโธ โธอุท ธังอัท หังระอะ อะนะปัสสะ ๓- ๗ จบ เมื่อจะเข้ารณรงค์สงคราม ให้รูดไว้ข้างหน้าเหนือสะดือ จะแคล้วคลาดอาวุธทั้งหลาย ปืนไฟ ธนูหน้าไม้ หอกดาบ แหลนหลาว ขวากหนามทั้งปวง ถ้าหนีศัตรูให้รุดไว้ข้างหลัง ศัตรูไล่ตามไม่ทันเลย ถ้าจะเข้าหาขุนนางท้าวพระยา สมณะชีพราหมณ์ทั้งหลาย ให้รูดไว้ข้างขวา ถ้าจะเข้าหานางพญาศัตรี เจรจาพาที รูดไว้ทางซ้าย ถ้าจะแข่งวัวแข่งควายแข่งเรือ ช้างม้า วิ่งแข่ง เมื่อเริ่มออกให้รูดเอาตะกรุดไว้ตรงสะดือ ถ้าออกเลยข้างหน้าแล้ว เอาไว้ข้างหลังเขาตามมิทันเลย พระยันต์ ตะกรุดมหารูดมหามงคล มหาชาตรีโทนนี้ มีพระคุณประเสริฐที่สุด มนุษย์ผู้ใดมีพระยันต์นี้ประจำตัวเอาไปด้วย จะไม่ตายด้วยอาวุธทั้งหลาย ย่อมเจริญศรี ด้วยยศศักดิ์ทุกประการ และกันกระทำภูตผีปิศาจทั้งหลาย ถ้ามีทุกข์ร้อนอันใดก็ดี ให้เอาพระยันต์ตะกรุดนี้ อาราธนาแช่น้ำทำน้ำพระพุทธมนต์ได้ทุกอย่าง ให้ปรารถนาเอาเถิด ให้เสกด้วย ไตรสรณาคม และพระอิติปิโส(จนถึง)พุทโธภะคะวาติ ข้างบนนั้น ๓-๗ จบ เมื่อทำแล้วให้เอาน้ำมนต์มาพรมหรืออาบ จะหายสิ้นแล จะประสิทธิ์ได้ทุกอย่าง อย่าสนเทห์เลย ให้หมั่นปลุกเสกไว้เถิดจะศักดิ์สิทธิ์ทุกประการ วิธีใช้เดินทางไม่เมื่อยดังนี้ เมื่อปลุกตะกรุดเสร็จแล้ว จึงเอามือพนมพร้อมด้วนตะกรุด ให้ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรมเจ้า คุณพระสงฆเจ้า คุณครูบาอาจารย์ ตลอดถึงคุณบิดามารดา พระภูมิเจ้าที่ แม่พระธรณี แม่พระคงคา และหลวงพ่อจง ท่านประสิทธิ์ให้อันประเสริฐ แล้วลุกจะเดินทางต่อไปนี้ ขออย่าให้เมื่อยให้เหนื่อย ให้ล้าเลย แล้วจงเสกตะกรุดซ้ำลงไปว่า เสกขาธัมมา อะเสกขาธัมมา เนวเสกขาธัมมา เสกขาธัมมา ดังนี้แล้วจึงเอามือลูบตามแข้งขาบ่าไหล่ ลูบไปให้ทั่วสรพางค์ แล้วกราบลง สามครั้ง ค่อยเดินทางต่อไป พระคาถาสำหรับปลุกเสกพระยันต์ตะกรุด ให้ตั้งนะโม สามจบ แล้วให้ชุมนุมเทวดา แล้วปลุกเสกด้วยพระคาถานี้ พุทโธ พุทธัสสะ อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ให้ปลุกเสกทุกวันๆดีนัก ตะกรุดจะมีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์เข้มแข็งขึ้นอีกดีนักแล พระยันต์ตะกรุดมหารูดมงคล มหาชาตรีโทนนี้ ท่านประสงค์สิ่งใด จงพรรณนาตามแต่จะพึงอธิษฐานเอาเถิด ประเสริฐทุกอันแล พระยันต์ตะกรุดโทนดอกนี้ ตำรากล่าวไว้ มีค่าพันตำลึงทอง ของหลวงพ่อจงวัดหน้าต่างนอก อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา รายชื่อตะกรุดชุด ๑๖ ดอก ของหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ?.............................. ใช้ได้ผลมาแล้วในมหาสงคราม 1.เกราะเพชร 2.พรหมสี่หน้า 3.มหานิยม 4.คงกระพัน 5.กันเขี้ยวงา 6.เมตตา 7.แคล้วคลาด 8.กันกระทำ กันคุณ กันผี 9.กันไฟ 10.มหาอุด 11.กันภัยทางอากาศ 12.เดินทางไกลไม่เหนื่อย ไม่เมื่อยล้า 13.กระทู้ ๗ แบก 14.กันฟ้าผ่า 15.นะจังงัง 16.มหารูด อมมะปลุกๆ กูจะปลุกรูปพระแลนา พระเลขยันต์แลคาถา กูจะปลุกเขี้ยวแลงา พระครุฤาษี พระอุนนะรุตตะเถระประสิทธิ์ไว้ให้แก่กู พุทธังสะระติ ธัมมังสะระติ สังฆังสะระติ ฯ ให้ปรารถนาแลพิสถานใช้เอาเถิด ประเสริฐทุกอันแล วิธีใช้เดินทางไม่เมื่อยดังนี้ เมื่อปลุกตะกรุดเสร็จแล้ว จึงเอามือพนมพร้อมด้วนตะกรุด ให้ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรมเจ้า คุณพระสงฆเจ้า คุณครูบาอาจารย์ ตลอดถึงคุณบิดามารดา พระภูมิเจ้าที่ แม่พระธรณี แม่พระคงคา และหลวงพ่อจง ท่านประสิทธิ์ให้อันประเสริฐ แล้วลุกจะเดินทางต่อไปนี้ ขออย่าให้เมื่อยให้เหนื่อย ให้ล้าเลย แล้วจงเสกตะกรุดซ้ำลงไปว่า เสกขาธัมมา อะเสกขาธัมมา เนวเสกขาธัมมา เสกขาธัมมา ดังนี้แล้วจึงเอามือลูบตามแข้งขาบ่าไหล่ ลูบไปให้ทั่วสรพางค์ แล้วกราบลง สามครั้ง ค่อยเดินทางต่อไป ตะกรุดพวงนี้เมื่อท่านจะไปสารทิศใด ท่านว่าให้ปรารถนาใช้เอาเถิด ประสิทธิ์ทุกอัน วิธีใช้มหารูดสำหรับที่ 15 และ 16 คู่หางเชือก ถ้าสูให้อยู่ข้างหน้า ถ้าหนีให้อยู่ข้างหลัง ถ้าเข้าหาเจ้านายให้อยู่ข้างขวา ถ้าเข้าหาผุ้หญิงให้อยูทางซ้าย ต้นเชือกคือทางบ่วง เลขที่ 1 และ 2 วิเศษนักแล วิธีเลี้ยงรัก-ยมของหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก ต.หน้าไม้ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อผู้ใดบุชาไปแล้วจงกระทำการเซ่นเสียก่อน ๓ วันติดกัน ของที่เซ่นนั้นมี 1. ข้าวปากหม้อ 2.ขนม 3.ไข่ และน้ำ และเครื่องดอกไม้ธูปเมียนบูชาครูพร้อม ให้เลือกพิสถานเมื่อเวลาเซ่นคล้ายบอกว่า เจ้ารัก-เจ้ายม จงมาอยู่กับพ่อหรือแม่ก็ตาม เจ้าจงว่านอนสอนง่าย และจงช่วยพ่อและแม่ ให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น พ่อกับแม่จะใช้ไปทางใหน เจ้าจงไปตามคำของพ่อและแม่ดังนี้เป็นต้น เมื่อเสร็จจากการเซ่น ๓ วัน แล้วต่อไปก็เพียงแต่เรียกร้องให้มากินข้าวด้วยกันทุกๆครั้ง ในเมื่อรับประทานอาหาร และจงหมั่นล้อหมั่นเลียน หมั่นเล่นเสมอ ๆ วิญญาณของเขาจะได้อยู่กับเราไปเรื่อยๆ ต่อแต่นี้ไปเมื่อเวลาเราจะไปไหน ก็จะชักชวนเขาไปด้วย การชักชวนเขาไปนั้นควรบอกจุดประสงค์ ว่าจะไปทำอะไรในทางที่ดี หรือไปหาลาภ ในเมื่อได้ผลสำเร็จแล้ว ควรจะมีของรางวัลให้เขาทุกครั้งไป เช่นเขาชอบ น้ำมันจันทน์ หรือน้ำมันหอม เป็นต้น บางทีเวลาเรานอนในสถานที่ต่างๆ เกรงว่าจะเป็นอันตราย เราก็บอกให้รัก-ยม รักษาคุ้มครอง สุดแต่เราจะพูดปรารถนาของเรา รัก-ยม เขาช่วยปลุกเราได้ ในเมื่อเราเซ่นจนขึ้นแล้ว บางเขาทำอะไรตกมาตึงตังมาให้เราตื่น ที่เขาไปใช้กันขลังๆนั้น ถึงกับ เป็ดไก่ขึ้นบ้านไม่ได้ บางทีมีคนมาพัก หรืออาศัยบ้านของเรา ควรบอกเล่าให้เขารู้เสีย ถ้าไม่บอก รัก- ยม จะกวนคืนยันรุ่ง เช่นหยิบโน่นหยิบนี่เป็นต้น บางคนเอาไปใช้ถูกปืนยิงตั้งหลายครั้ง ไม่รู้ลูกไปไหนหมด ได้ปรากฏจากปากคนอื่นมาแล้วหลายราย แต่รัก-ยมนี้ ทางสัณฐานของคนทั่วไป กล่าวว่าใช้ดีในทางค้าขาย ซื้อง่ายขายคล่อง เมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ รัก-ยม สามารถจะเข้าดลใจผู้อื่น ให้อ่อนลงได้ง่าย รัก-ยมนี้คล้ายของกายสิทธิ์ สุดแต่จะปรารถนาเอาเถิด แต่บุคคลที่ใช้รัก-ยม ต้องปฏิบัติตนเป็นคนมีศีลธรรม และวาจาให้เป็นสัจจะจริงๆ อย่าพูดเหลวไหลกลับกลอกไม่ได้ ตามที่ปรากฏมาแล้วหลายท่าน บางทีชักชวนเขาไปเล่นการพนัน ไปหาลาภ ไปในทางผู้หญิงก็มี การที่เราชักชวนไปไหนก็ตาม ถ้าสำเร็จตามความประสงค์แล้ว ควรรางวัลเขาทุกครั้งไป จะได้ลาภสมความประสงค์ของท่านแล ฯ คาถาเรียกปลุกและเรียกกินข้าว จัตตุระภูตานัง อะหังวายัง อมมะหาระกุมาริง รัก- ยมมารับโภชนา อาคัจฉาหิติวัตตัพโพ อาคัจฉัยหิมาลูกมา เรียกไปด้วยกัน หรือขอนิมิตร ขอลาภ เอหิจาตะ ปิยะปุตตะ ปุเรถะมะปาระมิง หัตทะยังเมภิสิณ จะถะพุทโธ บุพพนิมิตตัง ปิยะปุตตัง สัพพะลาภัง กะโรถะวะจะนัง ปิยังนำมามะมา
o หากมีบัญชี Facebook สามารถใช้ในการสมัครสมาชิกได้
o กรอกอีเมล/เบอร์โทรศัพท์ และรหัสผ่านที่ใช้เข้า Facebook
o กด “ตกลง” ก็จะเป็นสมาชิกเว็บไซด์พระพันธุ์ทิพย์ดอทคอม ได้ทันที
o ใส่ชื่ออีเมล และ รหัสผ่าน และ กดตกลง
o เข้าไปที่อีเมลที่ได้ลงทะเบียนไว้ ตรวจสอบอีเมลจาก prapantip@gmail.com เมื่อรับอีเมลแล้วให้กดที่ลิงค์ที่อยู่ในอีเมล เพื่อเข้าระบบ (บางครั้งอีเมล อาจไม่ได้อยู่ที่ Inbox กรุณาตรวจสอบที่ Junk Mail)
o ในครั้งต่อไป สามารถเข้าระบบ โดยกรอกอีเมล และ รหัสผ่าน ที่ท่านได้ลงทะเบียนไว้
ต้อง เห็นรายละเอียดชัดเจน ทุกด้าน ทั้งองค์
ควร ลงรูปทุกด้าน (หน้า หลัง ด้านข้าง ด้านบน ด้านล่าง)
ห้าม ลงรูปไม่คมชัด ไม่ละเอียด เบลอ
ห้าม วางพระเครื่อง รวมหลายๆ องค์ ในภาพเดียว
ห้าม ลงรูปพระไม่ซ้ำกันใน 1 ประกาศ
สิ่งสำคัญ: ห้ามลงพระซ้ำกับพระที่เคยลงประกาศไปแล้ว และยังแสดงอยู่ในหน้าเว็บไซด์
สินค้าที่ห้ามลงประกาศ: ชุดพระในคอ, งานทำบุญ , ข่าวพระเครื่อง, โฆษณาร้านพระ, ใบรับประกันร้านพระ, ข่าวสารพระเครื่อง, งานประกวด หรือ สินค้าอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง หากพบว่าลงพระไม่ถูกต้อง ไม่ตรงตามประเภท หรือ ลงสินค้าที่ไม่เกี่ยวข้อง ทางเว็บไซด์พระพันธุ์ทิพย์ดอทคอม ขอสงวนสิทธิ์ในการลบรายการพระนั้นๆ ออก โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
อ่านเพิ่มเติมที่ ลงรูปพระเครื่องแบบไหน ที่ทำให้คนเข้าชมเยอะ
- ประเภทพระ (เลือกประเภทพระ 1 รายการ) ดูรายละเอียดประเภทพระ
- ชื่อพระ
- ราคา (เฉพาะตัวเลขเท่านั้น)
- รายละเอียดพระ
- รูปพระ (ลงรูปพระได้ 1-5 รูป)
- รูปถ่ายบัตรประชาชน+หน้าสมุดบัญชีธนาคาร 1 รูป
- พื้นที่/จังหวัด
- ผู้ขาย (ชื่อ/นามสกุล)
- เบอร์โทรศัพท์ (เฉพาะตัวเลขเท่านั้น)
- Line id
สถานะ | รายละเอียด |
---|---|
รอตรวจสอบ | อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูล |
ไม่ผ่านการตรวจสอบ | เนื่องจาก ภาพไม่ชัด / ข้อมูลไม่ครบ /ผิดเงื่อนไข (เช่น ลงพระซ้ำ) เมื่อไม่ ผ่านการตรวจสอบจะลบประกาศออกทันที หากต้องการแก้ไขหรือเพิ่มเติมให้ลงใหม่เท่านั้น |
กำลังใช้งาน | พระแสดงหน้าเว็บไซด์แล้ว จนถึงวันที่ ..../...../..... |